ฉี่สีม่วงคืออะไร กินยาอะไรบ้างอาจทำให้ผลเป็นบวก

การตรวจปัสสาวะหาฉี่สีม่วงในโรงเรียน และสถานประกอบการ เป็นเพียงการตรวจค้นหาเบื้องต้น และหากพบว่าฉี่สีม่วงก็ต้องผ่านการตรวจยืนยันสารเสพติดด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการอีกครั้ง หากผู้เข้ารับการตรวจกินยาโรคประจำตัวบางชนิดอยู่แล้วก็มีผลต่อผลบวกที่เกิดขึ้นกับชุดตรวจได้ บทความนี้ Shop-dek.com พาคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจปัสสาวะหาฉี่สีม่วง ว่ามีขั้นตอนอย่างไร?

การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด (urine drug screening) เป็นการตรวจที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสะดวกและรวดเร็ว แต่ในบางกรณีอาจเกิด ผลบวกเทียม (false positive) ได้จากการใช้ยาบางชนิด ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการใช้สารเสพติด

ฉี่สีม่วงคืออะไร กินยาอะไรบ้างอาจทำให้ผลเป็นบวก
  1. ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม SSRI
    • Sertraline (Zoloft) → อาจตรวจเจอเป็น benzodiazepines หรือ amphetamines
    • Fluoxetine (Prozac) → มีรายงานว่าอาจขึ้นบวกกับ amphetamines
  2. ยาแก้หวัดและยาลดน้ำมูก
    • Pseudoephedrine, Ephedrine, Phenylephrine → อาจทำให้ผลตรวจคล้าย amphetamines
  3. ยากดอาการไอ
    • Dextromethorphan → อาจให้ผลบวกกับ opioids หรือ PCP
  4. ยาต้านจิตเวชและยาคลายกังวล
    • Quetiapine → อาจทำให้ผลตรวจขึ้นเป็น tricyclic antidepressants (TCA)
    • Diazepam หรือ benzodiazepines อื่น ๆ → แม้จะเป็นยาที่แพทย์สั่ง แต่ตรวจพบในกลุ่มสารเสพติดได้
  5. ยาต้านการติดเชื้อและยาปฏิชีวนะบางชนิด
    • Rifampin → อาจทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนสีและรบกวนการตรวจ
    • Ofloxacin, Levofloxacin → บางรายงานพบ false positive ต่อ opiates
  • การตรวจเบื้องต้นใช้วิธี immunoassay ซึ่งอาจให้ผลผิดพลาดได้
  • หากผลเป็นบวก ต้องตรวจยืนยันด้วย Gas Chromatography-Mass Spectrometry (GC/MS) หรือ Liquid Chromatography-Mass Spectrometry (LC/MS) ซึ่งมีความแม่นยำสูง และใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้

การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดถือเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการคัดกรองและป้องกันการใช้ยาเสพติด ทั้งในหน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และสถานประกอบการตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การตรวจดังกล่าวไม่เพียงแต่ใช้ในคดีอาญา แต่ยังใช้ในกระบวนการตรวจสุขภาพประจำปีของพนักงาน การสอบเข้าทำงาน หรือแม้แต่การตรวจในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง

กฎหมายเกี่ยวกับการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด

  • การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด กฎหมาย กำหนดให้สามารถใช้ผลตรวจเป็นพยานหลักฐานได้
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจ แพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย สามารถทำการตรวจสารเสพติดได้ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด
  • หากพบผลตรวจเป็นบวก จะต้องมีการตรวจยืนยันซ้ำที่ห้องปฏิบัติการมาตรฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ผลบวกเทียม

1. การเก็บตัวอย่าง

  • ใช้ ที่ตรวจสารเสพติด แบบชุดทดสอบรวดเร็ว (rapid test) โดยปกติจะเก็บ ปัสสาวะ เนื่องจากสะดวกและสามารถตรวจหาสารเสพติดได้หลายชนิด
  • ในบางกรณี เช่น การตรวจในโรงพยาบาล หรือการดำเนินคดี อาจมีการเก็บ เลือด เพื่อตรวจสารเสพติดในเลือด ซึ่งมีความแม่นยำมากกว่า

2. การตรวจเบื้องต้น

  • ใช้วิธี immunoassay test ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองสารเสพติด เช่น แอมเฟตามีน กัญชา เฮโรอีน โคเคน เบนโซไดอะซีปีน ฯลฯ
  • ได้ผลรวดเร็วภายใน 5–10 นาที แต่มีโอกาสเกิด ผลบวกเทียม ได้

3. การตรวจยืนยัน

  • หากผลตรวจเบื้องต้นเป็นบวก จะต้องส่งตัวอย่างไปตรวจยืนยันที่ห้องปฏิบัติการ โดยใช้เทคนิค GC/MS หรือ LC/MS
  • ผลตรวจยืนยันนี้จะมีความแม่นยำสูง และสามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้

การตรวจสารเสพติดในโรงงานและสถานประกอบการ

ประเภทของการตรวจสารเสพติด

  • ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด → ใช้บ่อยที่สุด รวดเร็วและประหยัด
  • ตรวจสารเสพติดในเลือด → ใช้กรณีที่ต้องการยืนยันหรือใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย
  • ตรวจเส้นผม / น้ำลาย → ใช้ในบางกรณี เช่น คดีความหรือต้องการตรวจย้อนหลังหลายสัปดาห์

ผลตรวจสารเสพติด และความหมาย

  • ผลลบ (Negative) → ไม่พบสารเสพติด หรือมีในปริมาณต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
  • ผลบวก (Positive) → พบสารเสพติดในร่างกาย แต่ต้องตรวจยืนยันซ้ำเพื่อความถูกต้อง
  • ผลตรวจที่ได้จะถูกจัดทำเป็น รายงานผลการตรวจสารเสพติด ซึ่งมีรูปแบบเป็นไฟล์เอกสาร เช่น doc หรือ pdf เพื่อใช้ยืนยันในทางกฎหมายหรือทางการปฏิบัติ

หลายองค์กรกำหนดให้มีการ ตรวจสารเสพติดพนักงาน เป็นประจำเพื่อสร้างความปลอดภัยในการทำงาน โดยเฉพาะโรงงานที่มีเครื่องจักรหรือการทำงานที่เสี่ยงอันตราย ขั้นตอนมักดำเนินการร่วมกับ โรงพยาบาล หรือคลินิกที่ได้รับอนุญาต และจะมี รายงานผลการตรวจสารเสพติด (doc) ส่งให้สถานประกอบการเก็บเป็นเอกสารหลักฐาน

การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดตามกฎหมาย มีขั้นตอนชัดเจนตั้งแต่การเก็บตัวอย่าง การตรวจเบื้องต้นด้วยที่ตรวจสารเสพติด ไปจนถึงการตรวจยืนยันในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ผลตรวจมีความแม่นยำ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้จริง

ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสารเสพติดพนักงานในโรงงาน, การตรวจในโรงพยาบาล, หรือการตรวจในคดีความ ทุกขั้นตอนจะต้องดำเนินการตามมาตรฐานกฎหมาย เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

ฉี่สีม่วง (Purple Urine Bag Syndrome) เป็นภาวะทางการแพทย์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ไม่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดโดยตรง อย่างไรก็ตาม ยาหลายชนิดอาจทำให้การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดให้ผล บวกเทียม ได้ เช่น Sertraline, Fluoxetine, Pseudoephedrine และ Dextromethorphan ผู้ที่ต้องตรวจสารเสพติดควรแจ้งประวัติการใช้ยากับเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด

บรรณานุกรม

  1. Pillai, V. G., & Chong, V. H. (2015). Purple urine bag syndrome. Singapore Medical Journal, 56(12), 68–70.
  2. Brahmbhatt, S., et al. (2020). Purple urine bag syndrome: A case report and review of literature. Cureus, 12(7), e9230.
  3. Brahm, N. C., Yeager, L. L., Fox, M. D., Farmer, K. C., & Palmer, T. A. (2010). Commonly prescribed medications and potential false-positive urine drug screens. American Journal of Health-System Pharmacy, 67(16), 1344–1350.
  4. Moeller, K. E., Lee, K. C., & Kissack, J. C. (2008). Urine drug screening: Practical guide for clinicians. Mayo Clinic Proceedings, 83(1), 66–76.
  5. วิศิษฎ์ ตั้งวีระวัฒน์. (2562). การตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ: หลักการและข้อจำกัด. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี, 27(1), 45–52.

คำค้นหา : การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด กฎหมาย,ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด,โรงพยาบาล ขั้น ตอน การตรวจสารเสพติดใน โรงงาน,ตรวจสารเสพติดในเลือด,ตรวจสารเสพติดพนักงาน,ผลตรวจสารเสพติด ,รายงานผลการตรวจสารเสพติด doc,ที่ตรวจสารเสพติด

Read More :

ใส่ความเห็น

I’m Panghoam

สวัสดีค่ะ -/\- ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ ช้อปเด็ก ดอท คอม รวมบทความไลฟ์สไตล์ที่เที่ยวครอบครัว ข่าวสารสุขภาพ รวมถึงแนะนำสินค้าเด็ก ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ ไปจนถึงเด็กแรกเกิด ฝากติดตามเว็บของแม่แป้งหอม ในนี้ และที่เพจ เลี้ยงลูกทำคอนเทนต์ด้วยนะคะ