- เด็กไทยที่เกิดมามีเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ก็ได้รับสิทธิ์บัตรทองตั้งแต่เกิด ตรวจสอบสิทธิ์ได้ด้วยตัวเองโทร 1330 กด 2 หรือเข้าเว็บ สปสช.
- หากไม่ทราบว่าสิทธิ์บัตรทองของลูกอยู่ที่ไหน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าสิทธิ์ขึ้นอยู่กับภูมิลำเนาของแม่ (ตำบล อำเภอที่แม่เคยอยู่มานาน ไม่ใช่ทะเบียนบ้านล่าสุด)
- อนาคตบัตร 30 บาท รักษาทุกโรค จะรักษาได้ทุกที่
สวัสดีคุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองของหนูน้อยวัยรุ่นฟันน้ำนมที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้ วันนี้แม่ขอมาเล่าประสบการณ์พาลูกเข้ารักษาตามสิทธิ์บัตรทองนะคะ ถ้าหากใครที่ยังไม่ได้ย้ายสิทธิ์บัตน 30 บาท รักษาทุกโรคมาไว้ใกล้ๆ ตัวแล้วล่ะก็ บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณมากทีเดียวค่ะ
สิทธิ์บัตรทอง 30 บาท สำหรับเด็ก รักษาอะไรได้บ้าง?
สิทธิ์บัตรทอง 30 บาท เป็นสิทธิ์การรักษาขั้นพื้นฐานที่คนไทยทุกคนจะได้รับ ถือว่าเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่รัฐมอบให้แก่ประชาชน เด็กใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่แรกเกิด ตั้งแต่เรื่องคลอด ฝากครรภ์ วัคซีน ไปจนถึงการรักษาโรคที่มีมาแต่กำเนิด เพราะฉะนั้นแล้วใครที่ยังไม่รู้จักสิทธิ์ตรงนี้ ควรศึกษาไว้
เด็กสามารถรักษาโรคอะไรได้บ้างภายใต้สิทธิ์บัตรทอง?
ความแตกต่างระหว่างบัตรทอง สิทธิ์ข้าราชการ และประกันสังคม มีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ไว้แม่จะเอามาเล่าในบทความหน้านะคะ ส่วนบทความนี้จะเน้นเรื่องสิทธิ์บัตรทอง หากคุณไม่สะดวกทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ สิทธิ์บัตรทองนี้ก็ช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ ดังนี้
- โรคทั่วไป เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย หอบหืด
- โรคเรื้อรัง เช่น หัวใจพิการแต่กำเนิด, หอบหืด, เบาหวานเด็ก
- โรคที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล
- การรับวัคซีนพื้นฐาน
- การพัฒนาเด็ก การตรวจพัฒนาการ
ในปี 2568 จะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิ์บัตรทองในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำประวัติไปเข้ารักษาที่ไหนก็ได้ ต้องติดตามต่อไปค่ะ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ควรจะทราบสิทธิ์ของตัวเอง ด้วยการตรวจสอบสิทธิ์กับแอป สปสช. เพื่อเช็คว่าน้องๆ และคนในครอบครัวของเรามีสิทธิ์บัตรทองกับคลินิกและโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือยัง
การรักษาด้วยสิทธิ์บัตรทอง จะเริ่มจาก 1 หน่วยปฐมภูมิ > 2 หน่วยทุติยภูมิ > 3 หน่วยตติยภูมิ (อ่านรายละเอียดทั้ง 3 หน่วยได้ที่นี่ บริการสุขภาพของไทยมี 3 ระดับอะไรบ้าง?) ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา เป็นหวัด ไอจาม ต้องการไปขอยา ก็สามารถไปยังหน่วยปฐมภูมิใกล้บ้านได้
เด็กที่เข้าโรงเรียนแล้วก็จะพบโรคหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น RSV, มือเท้าปาก, โควิด ฯลฯ แล้วเร็วๆ นี้บริษัทประกันภัยหลายเจ้า ก็เริ่มส่งจดหมายให้กับเด็กๆ ที่มีประวัติหลอดลมอักเสบ และโรคเด็กที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจว่าขอเพิ่มเบี้ยประกัน ซึ่งหาเราไม่สะดวกจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพต่อแล้ว ความหวังก็จะมาอยู่กับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ของ สปสช.
ในความไม่สะดวกของการรอคอย และระบบการส่งตัวของบ้านเรา ก็ยังมีความโชคดีของคนไทยตรงที่คุณหมอส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีจรรยาบรรณ ไม่ปฏิเสธคนไข้ ซึ่งความหวังต่อไปคือการรักษาระบบการรักษาที่รัฐดูแลสวัสดิการของหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม และเน้นผลิตหมอที่มีคุณภาพ ลูกๆ หลานๆ เราจะได้เข้ารับการรักษาดูแลในระบบการรักษาที่ดี

น้องมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และหน่วยปฐมภูมิกับทุติยภูมิไม่มีหมอและเครื่องมือที่จะรักษาได้ การเข้ารับการรักษาเราย้ายชื่อของน้องเข้ามาใกล้กับที่อยู่อาศัยในเขตทะเบียนบ้าน
ครอบครัวของเรายังมีความเชื่อมั่นว่า คุณหมอและเครื่องมือในกรุงเทพมหานครมีคุณภาพ เมื่อตรวจสอบสิทธิ์บัตรทองของน้อง ชื่อไปอยู่ที่ รพ.สต. เขตหนึ่งตามที่อยู่เดิมของแม่ และไกลจากบ้านเรามาก ไม่สะดวกที่จะเข้ารับการรักษาเลย แล้วตัวประวัติการรักษาของน้องอยู่ในโรงพยาบาลเอกชน แม่จึงไปขอมาเพื่อให้คุณหมอคลินิกปฐมภูมิช่วยส่งตัวไปที่โรงพยาบาลทุติยภูมิให้ได้

ด้วยหมอและเครื่องมือของโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลเครือข่ายที่ส่งตัวมานี้ไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านเด็กแบบที่น้องเป็นโดยเฉพาะ เราก็ต้องรอตามขั้นตอนให้คุณหมอเขียนใบส่งตัวไปโรงพบาบาลตติยภูมิให้ ซึ่งเราไม่สามารถระบุหรือร้องขอได้ว่าจะไปรักษาที่นั่นที่นี่ คุณหมอจะพิจารณา และหากมีการส่งตัวต่อก็ต้องขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัดไปก่อน
ใบส่งตัวที่ขอมามีระยะเวลาในการเดินทางไปรักษาด้วย เช่น
- จากคลินิกปฐมภูมิ ไปทุติยภูมิ ใช้เวลา 7 วัน (1 สัปดาห์)
- จากโรงพยาบาลทุติยภูมิไปโรงพยาบาลตติยภูมิหรือโรงพยาบาลศูนย์ ใช้เวลา 30 วัน (หรือ 1 เดือน)
**ดังนั้นเมื่อได้ใบส่งตัวมาแล้วต้องอ่านเอกสารตรวจสอบ 1. ชื่อคนไข้ 2. ระยะเวลาส่งตัว ซึ่งบางครั้งหมอเขียนมาอ่านไม่ออก สะกดผิด เขียนชื่อคนไข้ผิด ก็ต้องให้คลินิกแก้ไขให้ก่อนที่จะไปต่อ

การเตรียมตัวไปรักษา เราก็ต้องเตรียมทั้งเอกสาร และข้าวของที่จะทำให้เด็กๆ ยอมอยู่นิ่งๆ เช่น รถเข็นเด็ก, น้ำดื่ม, อาหาร ซึ่งแทบจะไม่ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหารเลย ต้องนั่งรอเฝ้าเรียกชื่อในแต่ละจุดแต่ละขั้นตอน
โดยเฉพาะคนกรุงเทพที่ต้องการไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้ต้องมีใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาด้วยสิทธิ์บัตรทอง ตามข่าวเริ่มใช้กฎนี้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่ในความเป็นจริงโรคซับซ้อนเกี่ยวกับเด็กก็ต้องใช้ใบส่งตัวนี้ด้วย


ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นโรคที่มีความซับซ้อน ทางโรงพยาบาลในกรุงเทพจะส่งไปโรงพยาบาเด็ก, โรงพยาบาลรามา, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นต้น การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ต้องได้รับการส่งตัวต่อจากโรงพยาบาลทุติยภูมิแล้ว น้องบ้านเราได้เข้ารับการรักษาที่แผนกเด็ก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก็ต้องมาตามนัด เข้าไปรับบัตรคิวและต่อแถวที่ลานจักรพงษ์

วันแรกที่ยังไม่มีประวัติ ไปต่อแถวทำประวัติเวชระเบียน 8 โมงเช้า กว่าจะได้หาหมอก็ 15.00 น. เรียกได้ว่าลางานไปทั้งวันทีเดียว หลังจากนั้นถ้ามีนัด รอบหน้าก็มาเข้าแถวกดบัตรคิวเอา จะเร็วขึ้น

แม้ว่าบ้านเราจะเจอโรคกับโรงพยาบาลเอกชนมาตั้งแต่ต้นปี 2568 แล้ว เมื่อเลือกจะรักษากับโรงพยาบาลตามสิทธิ์บัตรทอง กว่าจะได้เข้ารับการรักษาก็เข้าสู่เดือนสิงหาคม 2568 เสียค่ารถ 2,000 กว่าบาทแล้ว (ไม่รวมเรื่องการขาดรายได้ของแม่ และการขาดเรียนของลูกที่ต้องไปหาหมอระบบปฐมภูมิ ทุติยภูมิ) ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เรื่องที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งต้องแบกรับความรับผิดชอบ เป็นเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ เมื่อประชาชนรู้สิทธิ์ของตนเอง และระบบสาธารณสุขเราลดความเหลื่อมล้ำได้

สุดท้ายนี้ขอทิ้งท้ายเรื่องของขั้นตอนการเข้ารับการรักษาด้วยสิทธิ์บัตรทองสำหรับใครที่ยังไม่เคยตรวจสอบสิทธิ์ตรงนี้ก็ควรเตรียมความพร้อมไว้ด้วยการย้ายสิทธิ์ของลูกๆ มาใกล้กับที่อยู่อาศัย เพื่อการรักษาที่รวดเร็วค่ะ
ขั้นตอนการเข้ารับการรักษาด้วยสิทธิ์บัตรทองสำหรับเด็ก
1. ลงทะเบียนสิทธิ์ให้กับเด็กก่อน
- เมื่อเด็กแรกเกิด ผู้ปกครองต้องลงทะเบียนสิทธิ์บัตรทองโดยแจ้งชื่อเด็กเข้าสู่ระบบ สปสช.
- สามารถดำเนินการที่ สำนักงานเขต / อำเภอ / โรงพยาบาลที่ต้องการใช้เป็นหน่วยบริการประจำ
- หรือทำผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” หรือ “สปสช. 1330” ได้ด้วย
🔹 เอกสารที่ใช้:
- สำเนาสูติบัตรของเด็ก
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้ปกครอง
- ทะเบียนบ้าน
- แบบฟอร์มขอลงทะเบียน/ย้ายสิทธิ
2. เลือกหรือยืนยันหน่วยบริการประจำ (โรงพยาบาลหลัก)
- ระบบบัตรทองกำหนดให้มีโรงพยาบาลประจำ หากเด็กยังไม่มีสิทธิ์ผูกกับรพ.ไหน จำเป็นต้องเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านที่อยู่ในเครือข่ายของ สปสช.
- ถ้าเด็กมีโรคประจำตัว อาจเลือกโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทาง
3. เข้ารับการรักษาเมื่อเจ็บป่วย
- เมื่อเด็กมีอาการเจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไข้หวัด ไอ ท้องเสีย หอบหืด ฯลฯ สามารถไปที่โรงพยาบาลประจำได้ทันที
- ต้อง นำบัตรประชาชนของผู้ปกครอง และ หลักฐานการใช้สิทธิ์ (สามารถตรวจสอบสิทธิ์ผ่านแอป “สปสช.” หรือ call center 1330)
4. ในกรณีฉุกเฉิน สามารถเข้ารพ.ใกล้ที่สุดได้
- หากเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉิน เช่น ชัก หายใจไม่ออก อุบัติเหตุ ฯลฯ สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้ก่อน โดย ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ์
- หลังจากนั้นโรงพยาบาลจะทำเรื่องเคลมกับ สปสช. เอง
5. กรณีต้องการย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง (เช่น จุฬา รามา ฯลฯ)
- ต้องยื่นคำร้อง “ขอย้ายสิทธิ์” โดยให้เหตุผลว่าเด็กมีความจำเป็นต้องรับการรักษาเฉพาะทาง
- การย้ายต้องได้รับการอนุมัติจาก สปสช. และหน่วยบริการต้นทาง
- ใช้เวลาอนุมัติประมาณ 15–30 วัน
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่หาข้อมูลเรื่องสิทธิ์บัตรทองกันอยู่นะคะ
📌 ตรวจสอบสิทธิ์บัตรทองของลูกคุณวันนี้ ผ่านเว็บไซต์ สปสช. หรือศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อไม่พลาดการดูแลสุขภาพที่ลูกควรได้รับ
คำค้นหา : หน่วยบริการปฐมภูมิ (primary care unit) คืออะไร,ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ หมายถึงอะไร,ระบบบริการทุติยภูมิมีอะไรบ้าง,บริการสุขภาพมี 3 ระดับอะไรบ้าง,ระดับตติยภูมิ คือ,ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ aคือ,โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ คือ,โรงพยาบาล ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ,การบริการสาธารณสุขระดับ 3 คือ,โรงพยาบาล ตติย ภูมิ ใน ประเทศไทย,การบริการปฐมภูมิ มีอะไรบ้าง,โรงพยาบาลตติยภูมิขั้นสูง
อ้างอิง
- ‘รพ.จุฬาฯ-ศิริราช’ ปรับเกณฑ์ ‘บัตรทอง’ รักษามะเร็งต้องมีใบส่งตัว… สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4187211/
- ขั้นตอนการเข้ารับบริการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ., https://kcmh.chulalongkornhospital.go.th/procedure-for-receiving-service/





ใส่ความเห็น