ทำไมความรุนแรงของโรคโควิด-19 ลดลง? รักษาตามอาการได้ โดยไม่ต้องกินยาฆ่าเชื้อ

หลังจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกในช่วงปี 2020–2022 โลกก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปีต่อ ๆ มา เมื่อความรุนแรงของโรคเริ่มลดลงอย่างชัดเจน แม้ยังคงพบผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ แต่ภาพรวมของการรักษาและการเสียชีวิตกลับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราจึงสามารถรักษาโควิด-19 ได้ตามอาการ โดยไม่ต้องพึ่งยาฆ่าเชื้อหรือยาต้านไวรัสเหมือนในช่วงแรก ๆ? บทความนี้จะพาคุณมาหาคำตอบกันอย่างละเอียด

โควิด-19 ไม่ได้หายไป แต่ “ลดความรุนแรง” ลง

ทำไมความรุนแรงของโรคโควิด-19 ลดลง? รักษาตามอาการได้ โดยไม่ต้องกินยาฆ่าเชื้อ

● ภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีนและการติดเชื้อธรรมชาติ

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงของโควิด-19 ลดลง คือ ประชากรส่วนใหญ่ของโลกได้รับวัคซีนแล้วหลายโดส บางคนยังติดเชื้อซ้ำ ทำให้ร่างกายสร้าง “ภูมิคุ้มกันผสม” (Hybrid Immunity) ที่แข็งแรงกว่าการรับวัคซีนหรือการติดเชื้ออย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

● การกลายพันธุ์ของไวรัส

ไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 มีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง และสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง เช่น Omicron และลูกหลานของมัน มักจะ แพร่กระจายง่ายแต่มีอาการไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้า เช่น Delta หรือ Alpha

ความเข้าใจใหม่: โควิดเป็น “โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน” ที่รักษาตามอาการได้

ในปัจจุบัน แนวทางการรักษาของประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก เริ่มเน้นให้ผู้ติดเชื้อ พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ กินอาหารอ่อน ยาลดไข้ และยาลดน้ำมูก หากมีอาการ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ยาต้านไวรัส หรือฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ทุกคนเหมือนในอดีต

ทำไมไม่ต้องใช้ “ยาฆ่าเชื้อ” หรือ “ยาต้านไวรัส” แล้ว?

● ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic) ไม่ได้ผลกับไวรัส

สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดคือ การกินยาฆ่าเชื้อจะช่วยรักษาโควิด ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะ “ยาฆ่าเชื้อ” หรือยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ใช้ฆ่าแบคทีเรีย ไม่ใช่ไวรัส การใช้ยาโดยไม่จำเป็นยังเสี่ยงให้เชื้อดื้อยาในระยะยาว

● ยาต้านไวรัสในช่วงแรกเน้นใช้ในกลุ่มเสี่ยงสูง

ในช่วงที่ไม่มีวัคซีนและประชากรยังไม่มีภูมิคุ้มกัน แพทย์จึงต้องใช้ยาต้านไวรัส เช่น ฟาวิพิราเวียร์ หรือเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) เพื่อควบคุมอาการหนักของผู้ติดเชื้อ แต่ในปัจจุบัน กลุ่มเสี่ยงมักได้รับวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้กับทุกเคส

โควิดในปี 2024–2025: เปลี่ยนเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว?

แม้โควิด-19 จะยังไม่ถูกจัดว่าเป็น “โรคประจำถิ่น” อย่างเป็นทางการในบางประเทศ แต่หลายแห่งรวมถึงประเทศไทยก็เริ่มปฏิบัติต่อโควิด คล้ายไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดธรรมดา ซึ่งมีอาการไม่รุนแรงและหายเองได้ในผู้ที่สุขภาพแข็งแรง

มื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์หรือได้รับยาเฉพาะทาง?

แม้คนส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เอง แต่ก็มีบางกลุ่มที่ยังคงต้องเฝ้าระวัง ได้แก่:

  1. ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หอบหืด
  3. หญิงตั้งครรภ์
  4. ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือเคยได้รับเพียงเข็มเดียว

กลุ่มเหล่านี้อาจจำเป็นต้องได้รับยาเฉพาะ เช่น ยาต้านไวรัส Paxlovid หรือ Molnupiravir ตามดุลยพินิจของแพทย์

การดูแลตัวเองเมื่อติดโควิดแบบไม่มีอาการรุนแรง

  1. วัดไข้วันละ 2 ครั้ง
    หากไข้เกิน 38.5°C ติดต่อกันหลายวัน ควรพบแพทย์
  2. กินยาพาราเซตามอล ทุก 4–6 ชั่วโมง หากมีไข้หรือปวดเมื่อย
  3. แยกกักตัวในบ้าน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่น โดยเฉพาะผู้มีความเสี่ยง
  4. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อช่วยลดไข้และบรรเทาอาการเจ็บคอ
  5. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเต็มที่

โควิดยังอยู่ แต่เรามี “ภูมิคุ้มกัน” และ “ความรู้” เพียงพอ

โควิด-19 ในปี 2025 ไม่ได้น่ากลัวเท่าในช่วงแรก ๆ ของการระบาดอีกต่อไป ด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่:

  • การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีนและการติดเชื้อ
  • การกลายพันธุ์ของไวรัสให้มีความรุนแรงน้อยลง
  • การพัฒนาแนวทางรักษาที่เน้นการดูแลตามอาการอย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น หากคุณติดโควิดในปัจจุบัน และเป็นคนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง โอกาสที่คุณจะหายได้เองโดยไม่ต้องกินยาฆ่าเชื้อหรือยาต้านไวรัสก็มีสูงมาก ขอเพียงดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด และหากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที

อ้างอิง

  1. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2567). แนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน (Home Isolation). เข้าถึงจาก: https://ddc.moph.go.th
  2. องค์การอนามัยโลก (WHO). (2023). COVID-19 epidemiological update. เข้าถึงจาก: https://www.who.int
  3. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2024). How COVID-19 Spreads and Evolves. เข้าถึงจาก: https://www.cdc.gov
  4. Siripongpun, S., et al. (2022). Hybrid immunity from SARS-CoV-2 infection and vaccination provides durable protectionJournal of Clinical Virology, 157, 105341.
  5. ธนาคารข้อมูลโรคติดเชื้อ สำนักระบาดวิทยา. (2567). สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศไทย. เข้าถึงจาก: https://doe.moph.go.th

Read More :

ใส่ความเห็น

I’m Panghoam

สวัสดีค่ะ -/\- ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ ช้อปเด็ก ดอท คอม รวมบทความไลฟ์สไตล์ที่เที่ยวครอบครัว ข่าวสารสุขภาพ รวมถึงแนะนำสินค้าเด็ก ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ ไปจนถึงเด็กแรกเกิด ฝากติดตามเว็บของแม่แป้งหอม ในนี้ และที่เพจ เลี้ยงลูกทำคอนเทนต์ด้วยนะคะ