โรคร้ายจากเชื้อแบคทีเรีย ที่ยังต้องระวัง แม้ในยุคปัจจุบัน
เมื่อพูดถึง “แอนแทรกซ์” หลายคนอาจคุ้นหูกับชื่อโรคนี้จากข่าวในอดีต โดยเฉพาะในบริบทของโรคอันตรายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงและการระบาดเฉียบพลัน แต่ในความเป็นจริง แอนแทรกซ์ไม่ใช่โรคที่เกิดเฉพาะในต่างประเทศหรือเฉพาะบางอาชีพเท่านั้น เพราะคนไทย โดยเฉพาะในชนบทที่มีการเลี้ยงสัตว์ ก็มีความเสี่ยงต่อโรคนี้เช่นกัน
แอนแทรกซ์ หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Anthrax เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียชื่อ Bacillus anthracis ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถสร้างสปอร์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี สปอร์เหล่านี้สามารถอยู่ในดินได้นานนับสิบปี โดยไม่ตายจากความร้อน แสง หรือความแห้ง ทำให้เมื่อสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย แพะ หรือแกะ ไปเล็มหญ้าบริเวณที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ในดิน จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ และเมื่อนำสัตว์เหล่านั้นมาชำแหละเพื่อบริโภค หรือสัมผัสโดยตรงกับเนื้อ หนัง หรือขนสัตว์โดยไม่ระมัดระวัง เชื้อก็สามารถแพร่สู่คนได้เช่นกัน
โรคแอนแทรกซ์ คืออะไร?
โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียชื่อ Bacillus anthracis ซึ่งสามารถสร้างสปอร์ (spore) ที่อยู่ในดินหรือสิ่งแวดล้อมได้ยาวนานหลายสิบปี โดยเชื้อนี้มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย แพะ แกะ และอูฐ แต่ในบางกรณีอาจติดต่อสู่คนได้ ซึ่งจัดเป็น โรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
แอนแทรกซ์ หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Anthrax เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียชื่อ Bacillus anthracis ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถสร้างสปอร์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี สปอร์เหล่านี้สามารถอยู่ในดินได้นานนับสิบปี โดยไม่ตายจากความร้อน แสง หรือความแห้ง ทำให้เมื่อสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย แพะ หรือแกะ ไปเล็มหญ้าบริเวณที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ในดิน จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ และเมื่อนำสัตว์เหล่านั้นมาชำแหละเพื่อบริโภค หรือสัมผัสโดยตรงกับเนื้อ หนัง หรือขนสัตว์โดยไม่ระมัดระวัง เชื้อก็สามารถแพร่สู่คนได้เช่นกัน
แอนแทรกซ์สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ 3 ทางหลัก ๆ คือ ทางผิวหนัง ทางระบบหายใจ และทางเดินอาหาร โดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือการติดเชื้อทางผิวหนัง ซึ่งมักเกิดจากการสัมผัสกับสัตว์ติดเชื้อหรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น หนังสัตว์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ผู้ป่วยในรูปแบบนี้จะเริ่มมีตุ่มแดงนูนขึ้นบริเวณที่สัมผัส จากนั้นตุ่มจะกลายเป็นตุ่มพอง มีน้ำ และภายใน 2-3 วันก็จะกลายเป็นแผลดำตรงกลาง ลักษณะเฉพาะคือแผลจะไม่เจ็บ แต่จะมีอาการบวมแดงรอบ ๆ ร่วมกับไข้ หนาวสั่น และต่อมน้ำเหลืองโต
ส่วนแอนแทรกซ์ทางระบบหายใจ เป็นรูปแบบที่พบได้น้อยแต่รุนแรงมาก ผู้ป่วยมักเริ่มจากมีไข้ ไอ เจ็บหน้าอก และหายใจลำบาก อาการจะทรุดเร็วมากและอาจเสียชีวิตภายในเวลาอันสั้นหากไม่ได้รับการรักษา ส่วนแอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร มักเกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อและปรุงไม่สุก โดยจะมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย และบางรายมีอาการเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
ถึงแม้จะดูน่ากลัว แต่โรคแอนแทรกซ์สามารถรักษาได้ หากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ โดยแพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Ciprofloxacin, Doxycycline หรือ Penicillin และหากผู้ป่วยอยู่ในภาวะรุนแรง อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยด่วน เพราะการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อให้เร็วที่สุดคือกุญแจสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิต
สำหรับการป้องกัน โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ การปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน และหากทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ เช่น เกษตรกร ผู้ชำแหละสัตว์ หรือผู้ผลิตหนังสัตว์ ก็ควรใช้ถุงมือ หน้ากาก และอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม สำหรับในบางสายงาน เช่น ทหารหรือผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ระบาดของโรค อาจได้รับวัคซีนป้องกันแอนแทรกซ์โดยเฉพาะ
แม้ว่าในประเทศไทยจะไม่พบโรคแอนแทรกซ์บ่อยนัก แต่ก็ยังมีรายงานผู้ป่วยเป็นระยะในบางพื้นที่ การรู้เท่าทันโรคนี้ และรู้จักสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรักษาได้ทัน โรคนี้สามารถหายขาดได้ และไม่แพร่กระจายต่อไปสู่ครอบครัวหรือชุมชน
การป้องกันโรคแอนแทรกซ์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อย่ารับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายผิดธรรมชาติ
- ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกทั่วถึง
- หลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์จากสัตว์มาทำเครื่องใช้หากไม่มั่นใจแหล่งที่มา
- ในบางกรณี เช่น บุคลากรทหารหรือผู้ทำงานเฉพาะทาง อาจได้รับวัคซีนป้องกัน
การใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน และการรู้จักที่มาของเนื้อสัตว์ที่เราบริโภค จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่ช่วยป้องกันโรคร้ายแรงอย่างแอนแทรกซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการผิดปกติหลังสัมผัสสัตว์หรือเนื้อสัตว์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะความเร็วในการวินิจฉัยและรักษานั้นสำคัญยิ่งต่อการรอดชีวิต
อ้างอิง
ข้อมูลจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (PIDST):
https://www.pidst.or.th/A249.mobile
Read More :
- เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร? อาการแบบไหนที่ต้องระวัง?
- วัคซีนอีสุกอีใสในเด็ก: จำเป็นหรือไม่? ราคาเท่าไหร่?
- วัคซีนจำเป็นสำหรับเด็ก มีอะไรบ้าง?
- 5 โรคทางเดินหายใจเด็ก ที่เปลืองเงินพ่อแม่มากที่สุด (พร้อมวงเงินค่ารักษา)
- 10 โรคยอดฮิตในเด็ก ที่จำเป็นต้องมีประกันสุขภาพ (พร้อมวงเงินรักษากรณีแอดมิด)








ใส่ความเห็น