ผู้เขียนฝากครรภ์กับแพ็คเกจฝากครรภ์ของโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านแห่งหนึ่งค่ะ โดยท้องนี้เป็นท้องที่สองค่ะ แพ็คเกจฝากครรภ์ในปีนั้น คิดราคา 16,900 บาท ฝากครรภ์ 10 ครั้ง รวมค่าตรวจกับแพทย์ และการทำอัลตราซาวน์ตรวจทารก ไม่คาดคิดว่าการตรวจครรภ์ครั้งสุดท้าย จะเป็นการแอทมิดเตรียมคลอดไปด้วย บทความนี้ผู้เขียน Shop-dek.com จะเล่าประสบการณ์ผ่าคลอดให้กับคุณแม่ที่กำลังหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวกันนะคะ
1
ไม่ได้ตั้งใจมาคลอด แค่มาฝากครรภ์
การผ่าคลอดครั้งนี้เป็นท้องที่สอง ไปตามนัดฝากครรภ์ ซึ่งเราเคยผ่าคลอดมาตั้งแต่ท้องแรก คุณหมอจึงแนะนำให้ผ่าในท้องที่สอง เพราะป้องกันความเสี่ยงเรื่องมดลูกแตกหากคลอดธรรมชาติ โดยการคลอดครั้งแรกเราก็พยายามคลอดธรรมชาติแล้ว แต่เกิดเหตุปากมดลูกไม่เปิด เด็กติดอยู่ในช่องคลอดนานเกิน เพื่อป้องกันการขาดออกซิเจนคุณหมอจึงแนะนำให้ผ่าคลอดในท้องแรก

เมื่อมาถึงขั้นตอนการฝากครรภ์ครั้งสุดท้าย ก็มีตรวจปัสสาวะ และพบแพทย์ตามปกติ แต่ครั้งนี้เมื่อพยาบาลผดุงครรภ์วัดหน้าท้องก็พบว่ามดลูกเริ่มบีบรัดแล้ว และตรวจภายในก็พบว่าปากมดลูกเปิด 1 เซนติเมตร คุณหมอจึงแนะนำให้แอทมิดเพื่อเตรียมผ่าคลอดในอีก 8 ชั่วโมง
จากประสบการณ์คลอดครั้งแรก เราก็เตรียมกระเป๋าตั้งแต่อายุครรภ์ 35 สัปดาห์ ในกระเป๋าใส่เอกสารสำหรับให้โรงพยาบาลทำเรื่องสูติบัตร และที่นี่ก็ทำเรื่องกับประกันสังคมให้ด้วย เราเตรียมเอกสารให้ครบ ใส่แฟ้ม และมีผ้าอ้อม ชุดใส่กลับบ้านของแม่และเบบี๋เอาไว้ หากฉุกเฉินคุณพ่อจะได้ช่วยหิ้วมาโรงพยาบาลได้เลย
2
เจ็บท้องเตือน
แม่ไม่รู้ตัวว่าเจ็บท้องแล้ว เพราะช่วงเวลาที่กำลังมาฝากครรภ์นี้ ปวดท้องไปหมด ลูกคนโตเป็นโควิด แม่ก็ยังอุ้มคนโตอยู่เลย มาถึงโรงพยาบาลคุณหมอไม่ให้กลับบ้านแล้ว ต้องไปเตรียมตัวอยู่ในห้องรอคลอด ขอเอาประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าอาการเจ็บท้องเตือนให้คุณแม่สังเกตกันค่ะ
อาการท้องแข็งจะเจ็บร้าวมดลูกเป็นเส้นๆ ร้าวไปถึงหลัง (เป็นอาการที่บอกยากนิดนึง) เว้นระยะสักพักมดลูกจะบีบตัวเป็นจังหวะ ด้วยความถี่หลายครั้งต่อชั่วโมง แล้วจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนคลอด ถ้าได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลคุณหมอจะพารัดสายเข้าเครื่องวัดท้องแข็งค่ะ เนื่องจากท้องแรกเคยผ่ามาก่อน เพื่อลดความเสี่ยงอื่นๆ ท้องสองก็ต้องผ่าด้วย โดยคุณหมอจะกรีดผ่าให้ทางแผลเดิม
ไปถึง รพ. ประมาณ 9.50 น. เป็นนัดฝากครรภ์ครั้งสุดท้าย คุณหมอจะให้นอนรัดสายเข้าเครื่องวัดท้องแข็ง ใช้เวลาวัด 30 นาที แล้วหากมีอาการคุณหมอก็จะประเมินต่อไป ตอนเช้าพาลูกคนโตไปส่งไว้บ้านยาย ตอนสายๆ เข้าเครื่องวัดท้องถึงรู้ว่ามีอาการท้องแข็งหลายลูกคลื่นแล้ว เพื่อความชัวร์พยาบาลห้องรอคลอดขอตรวจต่ออีกครึ่งชั่วโมง เรียกคุณหมอขึ้นมาดูก็พบว่าท้องแข็งแล้ว
รวมถึงการตรวจภายใน เมื่อคุณหมอสวมถุงมือเข้าไปวัดขนาดปากมดลูกก็พบว่าปากมดลูกเปิด 1 ซม. แล้ว คุณหมอสอบถามว่ารับประทานอาหารครั้งสุดท้ายมาตอนกี่โมง พอนึกได้ว่า 8.30 น. ก็ให้งดน้ำงดอาหารเตรียมรอห้องแอดมิดได้เลย
พยาบาลให้เปลี่ยนชุดรอในห้อง และสวนให้ถ่ายอุจจาระ ยาสวนที่ได้รับนั้นพอเข้าไปไม่นานก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำ เบ่งทะลุทะลวงมากจนคิดว่าปากมดลูกคนเปิดเพิ่มแน่ ณ ตอนนั้นเริ่มมีเลือดออกทางช่องคลอดแล้ว
ได้เวลาผ่าประมาณ 16.00 – 17.00 น. ใช้เวลาอย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างบล็อกหลัง รู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่พยาบาลบอกว่าไม่เจ็บเท่าตอนเจาะสายน้ำเกลือที่แขน (ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขาบอก ไม่เจ็บเลยค่ะ เรากลัวไปเอง)
3
เข้าห้องผ่าตัด
พยาบาลให้เรานอนบนเตียง พยาบาลก็เอาผ้าคลุมสีเขียวๆ มาคลุมตัวเราไว้ และปิดไม่ให้เราเห็นตอนผ่า แต่เรารู้สึกตัวอยู่ตลอด แม้กระทั่งตอนลงมีด รู้สึกว่ามีอะไรกระทบแต่ไม่ปวด มาเจ็บก็ตอนพาลูกออกมาแล้ว และเหมือนคุณหมอขูดอะไรที่ท้อง ยังไม่เย็บแผล ใจก็อยากจะถาม แต่ว่าไม่กล้าพูดถาม กลัวไปหมด
เมื่อเย็บแผลเสร็จ ลูกก็ถูกส่งไปห้องเด็กแล้ว ส่วนแม่ก็นอนรอดูอาการ 2 ชั่วโมง ที่ห้องพักใกล้ๆ ระหว่างนอนรอนั้นเจ็บท้องมาก เจ็บ 10 เต็ม 10 ร้องขอยาแก้ปวด คุณหมอสัญญาว่าจะให้แต่พี่พยาบาลยังไม่ฉีดให้ ได้ฉีดเข็มแรกก็ตอนขึ้นไปห้องพัก
ณ ห้องรอดูอาการเป็น 2 ชั่วโมงที่ยาวนานมาก ใจหนึ่งก็กังวลว่าลูกจะเป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่าน้ำหนักน้อย (น้อยกว่าคนแรก) อีกใจก็เป็นห่วงตัวเอง ว่าพรุ่งนี้จะลุกเดินไหวไหม
คุณหมอบอกว่าได้ขูดพังผืดที่มดลูกออก ตอนพยาบาลช่วยกดไล่เลือดให้ออกมาจากสายปัสสาวะนั้น รู้สึกเจ็บท้องมาก เจ็บบอกไม่ถูกว่าเจ็บอะไร มารู้ตอนหลังว่าเป็นมดลูก ตรงที่พี่พยาบาลกด เป็นบริเวณที่ถูกกรีดพังผืดพอดี
ครบ 2 ชั่วโมงก็จะได้กลับขึ้นมาบนห้องพัก เป็นเวลาประมาณ 19.00 น. แน่นอนว่ายังไม่ได้กินข้าวแน่ๆ จะได้กินก็หลัง 12.00 น. ของอีกวัน หลังคลอด 4 ชั่วโมงยังขยับตัวไม่ค่อยได้ ต้องนอนราบถึง 03.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ขอยาฉีดและพยาบาลก็ฉีดเข้าทางสายน้ำเกลือให้ แผลเจ็บขยับไม่ได้ ตอนที่เวรเปลเข็นมาแรงกระแทกที่ล้อเตียงเราก็ปวดแผล เมื่อยกเราขึ้นเตียงนอนให้ห้องพัก เราก็เจ็บแผล เจ็บไปหมดทำอะไรไม่ได้ พยายามกระดิกปลายเท้า ก็ทำได้ข้างซ้ายข้างเดียว
6 ชั่วโมงแรก ขาด้านขวายังชาอยู่ ดื่มได้แต่น้ำเปล่าแบบจิบๆ ปัสสาวะจะออกมาทางสายสวน พยาบาลก็เก็บไปทิ้งให้ แม่ก็ได้แต่นอนอยู่อย่างนั้น ยังไม่เห็นหน้าลูกเพราะลูกต้องอยู่ในตู้อบ เข็นมาที่ห้องไม่ได้
คืนแรก แทบไม่ได้นอน ปวดแผลตลอดเวลา เมื่อพ้น 03.00 น. ถึงเปลี่ยนท่าขยับตัวได้ แต่ก็ยังลุกไม่ได้ กระดิกไม่ได้มาก สองวันแรกพยาบาลต้องมาเช็ดตัวเช้าเย็น เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าที เจ็บไปหมด
พยาบาลจะเข้ามาวัดไข้กับวัดความดันให้ทุก 4 ชั่วโมง ลืมเล่าว่าพยาบาลวางถาดอ้วกไว้ให้ เพราะบางคนเมื่อฤทธิ์ยาชาหมด จะเวียนหัวและอาเจียน โชคดีที่ต้นไม่มีอาการ รวมถึงอาการคันผิวหนัง เราก็ไม่มีด้วย รอดไป

วันที่ 1 หลังคลอด
แม่ได้รับประทานอาหารเที่ยงเป็นมื้อแรก แม่คิดไปเองว่ามื้อแรกคงจะกินอะไรไม่ค่อยได้ แต่ปรากฎว่ากินได้หมดจาน (ด้วยความหิว) คุณหมอแนะนำว่าต้องพยายามกินข้าวให้ได้หลังผ่าคลอด เพราะลำไส้จะได้ฟื้นตัวเร็ว มื้อแรกๆ ยังต้องกินบนเตียง ยังเดินไม่ได้เลยค่ะ
- วันแรกน้ำนมยังไม่มา สิ่งที่ต้องรีบทำที่สุดคือพักผ่อนให้ตัวเองแข็งแรงไวๆ จะได้เดินไปหาลูกได้
- พักฟื้นวันแรกเจ็บมาก ขอยาฉีดจากพยาบาลไป 2 รอบ ยากินเอาไม่อยู่ ปวดจนทนไม่ไหว เทียบกับท้องแรกแล้วท้องนี้เจ็บกว่าเยอะ ท้องแรกมีอาการปวดท้องแบบคลอดธรรมชาติด้วยคงมีกลไกธรรมชาติที่ทำให้เจ็บน้อย หายเร็ว แต่ท้องนี้ผ่าแบบไม่ได้ตั้งตัวเลยเจ็บเยอะฟื้นช้าไปหน่อย
วันแรกแม่ลุกไม่ได้เลยค่ะ ได้แต่นอนอย่างเดียว
วันที่ 2 หลังคลอด
ผ่านคืนที่ 2 มาแล้ว หลับๆ ตื่นๆ วันนี้ได้เอาสายปัสสาวะออก และต้องลุกหัดเดินค่ะ คุณหมอเข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ เขาใช้ที่ปิดแผลแบบพลาสติกแผ่นใหญ่ๆ เพื่อกันน้ำ
- พยายามเข้าห้องน้ำไปถ่ายหนัก เพราะได้รับยาถ่ายเข้าไป เป็นเรื่องหนักหนามากจริงๆ เข้าห้องน้ำ 4 รอบ ถ่ายไม่ออก ลุกจากเตียงแต่ละทีทรมานมากค่ะ
- สายรัดท้องหลังคลอดนั้นสำคัญมาก ไม่ใส่แล้วจะเดินไม่ได้ ตกเส้นละ 500 บาท เจ็บท้องไปหมดเลยค่ะ
วันที่ 3 หลังคลอด
ผ่าคลอดกี่ชั่วโมงเดินได้ ท้องนี้ 2 วันแม่ยังเดินไม่ได้เลยค่ะ วันนี้แม่ควรได้ออกจาก รพ.ตอนเย็นๆ แต่แม่ยังลุกทำอะไรไม่ได้เลย ใจก็คิดว่าถ้าจำเป็นต้องออกวันนี้คงต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดู แต่คุยกับคุณหมอแล้วลูกยังต้องอยู่อีกคืน แม่ก็ยังไม่ค่อยไหว ก็เลยขอนอนอีกคืนนึง ค่าใช้จ่ายตกคืนละ 5,700 บาท
ได้ปั๊มนม ได้ลุกไปหาลูก พยาบาลให้แม่นั่งให้นม เพื่อให้ลูกเรียนรู้การกินนมจากเต้า ดูว่านมย่อยดีไหม หายใจแรงไหม อุ้มลูกที่อยู่ในผ้าห่อ เขาตัวเล็กมาก ต้องทะนุถนอม
วันที่ 4 หลังคลอด
วันนี้จะได้ออกจาก รพ. ทั้งแม่และลูกแล้วค่ะ ยังประหม่ากันทุกคน คุณพ่อก็ด้วย ของใช้เด็กยังเตรียมไม่ครบ เพราะไม่ได้ตั้งใจคลอดวันนั้น กลับมาถึงบ้านก็ต้องเตรียมของทั้งๆ ที่ยังปวดแผล และต้องอาบน้ำลูก เป็นกิจกรรมที่ใช้พลังมากสำหรับผู้หญิงที่เพิ่งผ่าตัด แนะนำว่ามื้อแรกควรมีคนช่วยดูอยู่ข้างๆ ค่ะ เป็นคุณพ่อก็ได้ ช่วยหยิบจับ หยิบของ ทั้งผ้าอ้อม ชุด ผ้าเช็ดตัว สบู่ สำลีเช็ดสะดือ ฯลฯ
สัปดาห์แรก
อาการเจ็บแผลค่อยๆ ดีขึ้น ผ้ารัดหน้าท้องได้ใส่ตลอดช่วง 3-4 วันแรก ยาแก้ปวดต้องกินสลับกันระหว่างไอโพรบูเฟน กับพารา หลังคลอดขึ้นลงบันไดได้ไหม ? ตอนท้องนี้มีความจำเป็นต้องขึ้นลง แม่ขึ้นลงวันละ 2 รอบ ก็พอได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าให้ขึ้นลงมากกว่านั้นจะเจ็บแผลมาก
โชคดีที่ว่า 3 วันแรก อะไรๆ ก็เริ่มลงตัว พอเราจัดวางข้าวของให้หยิบใช้สะดวก ก็ลงตัว รู้เวลากิน เวลานอนของลูก แล้วก็เตรียมตัว ที่สำคัญแม่ต้องพักผ่อนเยอะๆ แล้วดูแลอาหารในช่วงเดือนแรกให้ดี
สิ่งที่ทรมานที่สุดคืออาการไอ จาม ค่ะ เป็นขึ้นมาทีก็ปวดท้องเอาเสียมากๆ เลย
อาการใกล้คลอด เป็นแบบไหน

ผู้หญิงที่ใกล้จะคลอดจะมีสัญญาณใกล้คลอดจากร่างกายบอกให้คุณแม่เตรียมตัว อย่ารอจนถึงน้ำคร่ำแตก น้ำคร่ำเดินแล้วค่อยไปโรงพยาบาล เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่ตรวจจับการคลอดได้ดีกว่าปล่อยให้ลูกมาจ่อที่อุ้งเชิงกรานแล้วค่อยผ่าหรือคลอดเอง ดังนี้ค่ะ
1. อาการใกล้คลอด : ท้องลด
อาการท้องลด คือลักษณะท้องของแม่จะเหมือนว่าลูกไปกองรออยู่ที่อุ้งเชิงกรานมากๆ และท้องบริเวณใต้ราวนมจะแบนลง ถ้าเรายืนหันข้างเข้ากระจก ลักษณะจะเหมือนลูกชมพู่ ไม่ได้กลมเหมือนส้มโอในช่วง 7-8 เดือน ท้องแรกกับท้องสองของต้นนั้นมีอาการท้องลดให้สังเกตเห็นเหมือนกันค่ะ พอท้องเริ่มลด ไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็ต้องคลอดเลย
2. อาการใกล้คลอด : ท้องแข็ง
ต้นนัด OR เพื่อผ่าคลอดในวันที่ 23 มิถุนายน แต่วันที่มาตรวจครรภ์ 18 มิถุนายน คุณหมอบอกว่ามีอาการท้องแข็งแล้ว ที่รอไม่ได้คือปากมดลูกเปิด 1 เซนแล้ว ถ้ารอไปเรื่อยๆ เสี่ยงมดลูกแตกที่บ้าน
3. อาการใกล้คลอด : ปากมดลูกเปิด
ปากมดลูกเปิด เป็นวิธีที่คุณหมอจะตรวจภายในคุณแม่ ถ้าคุณหมอแยงนิ้วเข้าไปตรวจเจอแล้ว เหมือนเป็นการกระตุ้นคลอดอย่างหนึ่ง ปากมดลูกก็จะเปิดขึ้นเรื่อยๆ และถ้าคุณหมอบอกว่าปากมดลูกนิ่มแล้ว ก็แสดงว่าใกล้คลอดเต็มที
4. อาการใกล้คลอด : ปวดปัสสาวะแบบกลั้นไม่อยู่
อาการปวดปัสสาวะแบบกลั้นไม่อยู่ เป็นอาการใกล้คลอดที่ชัดเจนมาก หากรู้สึกว่าเข้าห้องน้ำแล้วเบ่งออกไม่หมดสักทีแล้วต้องการเบ่งอีก อย่าเพิ่งเบ่ง ให้ไปโรงพยาบาลเลยค่ะ
5. อาการใกล้คลอด : น้ำคร่ำเดิน
น้ำคร่ำเดินเป็นอาการที่มีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด เป็นสัญญาณของการคลอดธรรมชาติที่คุณแม่บางคนไม่รู้ตัว ในส่วนนี้ผู้เขียนเองก็ไม่เคยรอให้ถึงจุดนั้น ยังโชคดีที่เราได้ไปถึงโรงพยาบาลแล้วมีอาการเจ็บท้องคลอดตอนพบหมอพอดี
ผ่าคลอดใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน
ผ่าคลอดปกติแล้วถ้าไม่มีภาวะอะไรร่วมด้วย ตามแพ็คเกจโรงพยาบาลเขาจะให้พักฟื้น 4 วัน แต่ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมก็ขอคุณหมอนอนต่ออีกหนึ่งหรือสองคืนได้ ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์เป็นแบบไหน รอบนี้ผู้เขียนใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาล 5 วัน และพักฟื้นต่อที่บ้านอีกราว 2 สัปดาห์ค่ะ
อยากจะบอกคุณแม่ว่า ช่วงใกล้คลอดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เตรียมของให้พร้อม และสังเกตตัวเองว่าเริ่มมีอาการใน 5 ข้อนี้หรือยัง และอยากให้คุณแม่ฝากครรภ์กับโรงพยาบาล และคลินิกใกล้บ้าน เดี๋ยวนี้จ่ายเป็นครั้งๆ ไม่ต้องจ่ายเต็มแพ็คเกจก็ได้ค่ะ
**เนื้อหาในบทความนี้ไม่อนุญาตให้คัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ หรือนำไปรีไรต์ใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หากสนใจนำเนื้อหาไปใช้ให้ทำจดหมายขอเช่าลิขสิทธิ์ติดต่อมายังเพจ หากผู้เขียนพบเจอในภายหลังจะดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าลิขสิทธิ์ทั้งตัวอักษรและภาพทุกกรณี
ติดตามเพจได้ที่นี่ “เลี้ยงลูกทำคอนเทนต์”
Read More :
เก็บโค้ดสั่งซื้อสินค้าแม่และเด็ก SHOPEE Click ที่นี่
tag : ผ่าคลอด,ประสบการณ์ผ่าคลอด,รีวิว ผ่าคลอด,ผ่าคลอดเจ็บไหม,ปากมดลูกเปิด,ผ่าคลอดกี่ชั่วโมงเดินได้,ผ่าคลอดอันตรายไหม,ผ่าคลอดใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน








ใส่ความเห็น